Posted on Leave a comment

วิธียืดอายุการใช้ยางรถยนต์ เพื่อการใช้งานได้อย่างยาวนาน

หลายคนที่ใช้งานรถอาจจะมองข้ามสิ่งที่สำคัญในการขับขี่อย่างยางรถยนต์ โดยหากจะเปรียบเทียบรถยนต์เป็นมนุษย์ ยางรถยนต์ก็เปรียบได้กับเท้าของเราซึ่งมีการใช้งานอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือเป็นจุดที่สัมผัสกับพื้นถนนตลอดเวลา จึงควรให้ความสำคัญในการดูแลไม่ต่างจากภายในเครื่องยนต์ ซึ่งวันนี้เราได้มีวิธีในการดูแลยางรถยนต์ง่ายๆ 4 วิธีที่ช่วยยืดการใช้งาน ให้การขับขี่ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย!

1.ตรวจเช็กลมยางอย่างสม่ำเสมอ
รู้หรือไม่ว่าลมยางทำหน้าที่ในการช่วยรับน้ำหนัก ช่วยการทรงตัว และคงรูปร่างของยางให้อยู่ในสภาพที่ดี โดยยางที่หมดสภาพส่วนมากเกิดจากการไม่ดูแลลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ว่าจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าเกณฑ์ต่างก็ส่งผลทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็ว เช่น หากลมยางที่เติมนั้นอ่อนกว่าที่ควรจะเป็น จะส่งผลให้การขับขี่หนืดขึ้น และทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นในการเร่งเครื่องยนต์ หรือหากเติมลมยางมากเกินไปก็จะทำให้รถขณะขับรู้สึกโคลงเคลง ยางไม่เกาะถนน เพราะตัวยางแข็งเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยางนั้นเสื่อมเร็วก่อนเวลาอันควร ควรตรวจเช็กแรงดันลมยางเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง

2.หลีกเลี่ยงการขับขี่บนถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ
บางครั้งเมื่อรถทำความเร็วเต็มที่ ผู้ขับขี่อาจจะวัดใจขับผ่านจุดที่ถนนขรุขระโดยไม่ลดความเร็ว ซึ่งการที่เราขับรถบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งจะส่งผลต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณหน้ายางจะเกิดการเสียดสีกับผิวถนน ทำให้ยางรถสึกหรอมากกว่าเมื่อเทียบกับพื้นผิวถนนเรียบ และยังอาจทำให้ยางเกิดแตกหรือเสียหายได้อีกด้วย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงจุดที่ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ เพื่อถนอมตัวยางให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ


3.ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
ผู้ที่ใช้รถหลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ โดยสามารถอธิบายง่ายๆ ได้ว่าการตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆ เกี่ยวกับระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างล้อ และยาง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ช่วยให้รถวิ่งได้ตรง ไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า โดยเวลาที่เราขับรถทางตรง ถ้าเกิดรอยล้อด้านหน้ากับด้านหลังรถไม่ตรงกัน นั่นหมายถึงการทำงานของล้อไม่ปกติ ถ้าฝืนขับต่อไปจะทำให้ยางหมดสภาพเร็วขึ้นและการควบคุมรถก็ยากขึ้นตามไปด้วย


4.สังเกตอาการผิดปกติที่ยางรถยนต์
ยังมีอาการภายนอกของยางที่เราสามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะเป็นยางแตกลายงา ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพตามอายุของยาง หรือได้รับความร้อนจากการจอดรถตากแดด หรือแก้มยางฉีกขาด จากการถูกของมีคมขณะขับรถหรือเบียดกับเหล็กหรือขอบถนน หรือแม้แต่ดอกยางหมดสภาพ ซึ่งอาการเหล่านี้ต้องหมั่นดูและเช็กอยู่เสมอ เพราะส่งผลโดยตรงต่อการขับขี่และอายุการใช้งานของยางรถยนต์
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ที่คุณรักออกไปได้อีกนาน ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแถมยังขับขี่ได้อย่างปลอดภัย จะไปที่ไหนก็มั่นใจอีกด้วย

Posted on Leave a comment

การอ่านข้อมูลบนยางรถยนต์

การอ่านข้อมูลบนยางรถยนต์

ดรรชนีการรับน้ำหนักบรรทุก และ พิกัดความเร็วที่กำหนด
Load Index หรือ ดรรชนีการรับน้ำหนักบรรทุกของยางต่อเส้น ดัชนีบรรทุก คือตัวเลขสองหลักที่สามารถบอกได้ว่า ยางเส้นนี้ สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุดเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลข “91” หมายความว่า ยางเส้นนี้สามารถรับน้ำหนักได้ 615 กิโลกรัม รถ 1 คันมียาง 4 เส้น ดังนั้น ยาง 4 เส้นจะสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 2,460 กิโลกรัม

Speed Rating หรือ พิกัดความเร็วที่กำหนด คือ ค่ากำหนดความเร็วสูงสุดของยางขณะบรรทุกน้ำหนักตามดัชนีรับน้ำหนัก (Load Index) โดยจะระบุเป็นตัวอักษรและตัวเลขตามตาราง ยกตัวอย่างเช่น บนแก้มยางมีการระบุตัวอักษร W นั่นหมายความว่า ยางเส้นนั้นสามารถทำความเร็วสูงสุดขณะบรรทุกได้ด้วยความเร็ว 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เลข DOT
Nexen Tire Content 100% DOT ย่อมาจาก Department of Transportation คือวันที่ทำการผลิต (2 ตัวเลขข้างหน้าแสดงถึงสัปดาห์ของปี รวมกับ 2 ตัวเลขด้านหลังแทนปีที่ผลิต หรือ 2 ตัวเลขแทนสัปดาห์ของปี รวมกับ 1 ตัวเลข สำหรับ ยางที่ผลิตก่อนปี 2000) เช่น 2408 แสดงว่าสัปดาห์ที่ผลิตเป็นสัปดาห์ที่ 24 แสดงว่าผลิตในเดือนที่ 6 เป็นเดือนมิถุนายน และ 08 คือปีที่ผลิตในปี 2008

ตำแหน่งการติดตั้ง
บนยางที่มีดอกยางเรียกว่า ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน บนยางจะมีคำว่า inside และ outside ที่บริเวณแก้มยางทั้ง 2 ด้าน เพื่อเป็นการบอกตำแหน่งในการติดตั้งยาง เมื่อติดตั้งให้นำด้านที่มีคำว่า outside ออกมาอยู่ฝั่งเดียวกับหน้าของล้อแม็ก และเมื่อถึงเวลาสลับยาง ก็จะสามารถทำการสลับได้ทุกตำแหน่ง

Posted on Leave a comment

การดูแลรักษายางรถยนต์

ยางรถยนต์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องการการดูแลรักษา เพราะยางรถยนต์นอกจากจะช่วยให้รถขับเคลื่อนไปอย่างปกติแล้ว ยังช่วยป้องกันอันตรายในขณะขับขี่อีกด้วย ยางรถยนต์เป็นส่วนที่ช่วยในการยึดเกาะถนนไว้ทั้งในเวลาที่ถนนปกติหรือไม่ปกติ ไม่ให้รถลื่นไหลออกนอกเส้นทาง แต่ทั้งนี้ยางรถยนต์เมื่อถูกใช้งานก็ย่อมมีการสึกหรอไปตามระยะทางและระยะเวลาในการใช้งาน และทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง หากรถของท่านไม่เลี้ยวหรือวิ่งบนถนนที่เปียกไม่ดีดังเช่นที่เคยเป็นเหมือนเมื่อก่อน ระยะเบรกไกลขึ้น หรือมีการสั่นสะเทือนมาก อาจจะต้องแก้ไขโดยการสับยาง ถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์ หรืออาจถึงเวลาเปลี่ยนยางใหม่ ยิ่งเราดูแลรักษาได้ดีเท่าไหร่เราก็ยิ่งปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์ รวมถึงยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยางรถยนต์หรือซ่อมบำรุงได้อีกด้วย หากมองข้ามไปความสำคัญตรงนี้ไปอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

วิธีการดูแลรักษายางรถยนต์

การรักษาระดับความดันลมยาง
ตรวจสอบความดันลมยาง (ทุกๆ 2-4 สัปดาห์) เนื่องจากยางที่สูบลมโดยมีความดันลมยางที่ถูกต้องจะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และทำให้อายุการใช้งานยางรถยนต์ยาวนานกว่าปกติ

หมั่นตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำ
โดยหลักการ ยางรถยนต์จะเสียความดันในอัตราประมาณ 0.69 บาร์ (Bar) หรือ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) ต่อเดือน แต่อัตราดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงควรหมั่นตรวจสอบความดันลมยางอย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้ง สามารถดูคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความดันลมยางในคู่มือรถยนต์หรือแก้มของยาง

วิธีการตรวจสอบความดันลมยางเบื้องต้น
1. เตรียมเกจวัดความดันลมยาง หรือใช้ได้ที่จุดบริการต่าง ๆ
2.ควรตรวจสอบความดันลมยางในตอนเช้า หรือเมื่อยางรถยนต์กำลังเย็นอยู่ หากยางรถยนต์ร้อน จะทำให้การตรวจไม่เที่ยงตรง
3.คลายวาล์วหัวสูบลมและเสียบเกจวันบนวาล์ว หากมีเสียงฟู่สั้น ๆ ถือว่ายางปกติ
4.ตรวจสอบค่าความดันลมยาง หากไม่ตรงตามค่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเอาไว้ ให้ปรับความดันลมยางตามความเหมาะสม ด้วยเครื่องอัดลมหรือเครื่องสูบยางที่อู่รถ
5.ตรวจวัดค่าความดันลมยางอีกครั้งให้ตรงกับค่ามาตรฐาน
6.เมื่อความดันลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ให้ปิดฝาวาล์ว

สลับยางรถยนต์
ควรสลับยางรถยนต์ของคุณในทุก ๆ 10,000 ถึง 12,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน สาเหตุที่ควรสลับยางรถยนต์นั้นก็เพราะ ยางล้อหน้านั้นสึกหรอเร็วกว่าล้อหลัง การสลับตำแหน่งจะช่วยให้ยางสึกหรอเท่ากันทั้งชุด และทำให้ยางสามารถใช้งานได้นานขึ้น และเมื่อยางมีความสมดุลทั้งชุดก็จะทำให้การควมคุมบังคับรถนั้นง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
การการสลับยางนั้นเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากจะต้องกระทำการโดยมืออาชีพ จึงแนะนำให้เข้ารับบริการกับศูนย์ให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์ทั่วไป

ความสำคัญของดอกยาง
ดอกยางแสดงถึงอายุการใช้งาน เมื่อมีการใช้งานไประยะหนึ่ง ดอกยางจะมีการสึกตามการใช้งาน สามารถเช็คความลึกดอกยางด้วยตัวเองดังนี้
1.วัดจากเกจวัดความลึกดอกยาง เกจวัดความสึกของดอกยาง ออกแบบให้มองเห็นได้ชัดเมื่อดอกยางสึก ความลึกของดอกยางอย่างน้อยที่สุดควรจะอยู่ระหว่าง 2-3 มม. หากน้อยกว่านั้น ควรเปลี่ยนยางใหม่เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
2.ดูจากสะพานยาง บริเวณร่องดอกยางทุกเส้นจะมีสะพานยาง หากดอกยางสึกจนเท่ากับสะพานยาง นั่นแสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่

ควรตรวจสอบดอกยางที่สึกไม่เท่ากันด้วยที่อาจสามารถบ่งชี้ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับยางและรถยนต์ได้

ลักษณะการสึกหรอของยาง
บริเวณไหล่ยาง
เมือพบว่าไหล่ยางสึกด้านใดด้านหนึ่ง ดอกยางสึกไม่เสมอเท่ากันทั้งเส้น ให้เช็คที่ระบบช่วงล่าง การตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ และควรตั้งศูนย์ล้อใหม่ แต่หากพบกว่าไหล่ยางทั้งด้านในและด้านนอกสึกมากกว่าหน้ายาง ให้ตรวจสอบเรื่องความดันลมยาง สาเหตุอาจจะเกิดจากความดันลมยางต่ำเกินกำหนด การขับขี่รถที่ความดันลมยางต่ำ จะทำให้รถกินน้ำมันและมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

บริเวณศูนย์กลางดอกยาง
หากศูนย์กลางของดอกยางสึกหรอมากกว่าขอบด้านนอก อาจเป็นเพราะความดันลมยางที่มากเกินไปเกินไป ยางที่มีความดันลมยางมากเกินไปนั้นจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ยางระเบิดได้ ให้ตรวจสอบและปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือรถยนต์ถึงความดันลมยางที่เหมาะสมและถูกต้อง

การสึกหรอไม่เท่ากันในยางเส้นเดียวกัน
ลักษณะการสึกหรอของดอกยางรถยนต์สามารถเตือนให้ทราบได้ว่ามีปัญหา ณ ที่อื่นใดในรถ หากมีการสึกหรอที่ไม่เท่ากันหรือมีจุดโล้น อาจจะต้องถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์ใหม่ หรือบางครั้งจุดโล้นอาจบ่งชี้ได้ว่าอุปกรณ์กันสะเทือนสึกหรอ
อัตราการสึกหรอในยางจะไม่เท่ากัน ด้านหน้ารถมีเครื่องยนต์ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นยางล้อหน้าของรถจะสึกเร็วกว่า หากพบว่ายางนั้นสึกมากกว่าปกติ ควรตรวจสอบแหนบรถ ส่วนการสึกแบบลักษณะฟันเลื่อยบนขอบยาง สาเหตุน่าจะเกิดจากยางถูกับถนนตามธรรมชาติ ให้เช็คที่ระบบช่วงล่าง การตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ

รอยแตกบนยาง
บริเวณแก้มของยางและดอกยางนั้นอาจมีรอยแตก หากสังเกตเห็นว่ามีรอยแตกเล็กๆ บริเวณแก้มของยาง นั่นหมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนยาง แก้มของยางจะไม่หนามากและรอยแตกบนแก้มยางบงบอกถึงความเสื่อมสภาพของยาง ทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลงและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ และควรตรวจสอบดอกยาง ไหล่ยาง แก้มยางด้วยว่ามีฟองอากาศ ตุ่มพอง รอยตัด หรือรอยแตกหรือไม่ เพราะลักษณะเหล่านี้เป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพของยางที่เกิดจากการใช้งาน